|
การปลูก |
|
หัวข้อนี้เขียนขึ้นเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ตรงที่ได้จากการปลูกมะคาเดเมียนัทของสวนภูเรือวโนทยานให้ผู้สนใจ เผื่อจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับตัวผู้ปลูกเองได้ (แต่อย่าลืมว่าตำราการปลูกที่ได้ผลในที่หนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ดีในอีกที่หนึ่งก็ได้เนื่องจากความแตกต่างของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของที่แต่ละแห่ง) |
|
|
|
การเตรียมพื้นที่ |
|
ก่อนปลูก ควรเก็บตัวอย่างดินไปวิเคราะห์ก่อน มะคาเดเมียนัทไม่ชอบดินเหนียวแต่ชอบดินร่วนปนทราย อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ มีหน้าดินลึก 1-2 เมตรและมีความเป็นกรดด่าง 5-6
มะคาเดเมียนัทเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดอย่างมาก พื้นที่ที่ปลูกจึงควรเป็นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือแปลงพืชไร่เก่าที่ได้แดดเต็มที่และมีการระบายน้ำดี ไม่ควรมีไม้ยืนต้นใหญ่อยู่ในบริเวณที่ปลูก พื้นที่ลาดชันมักมีการระบายน้ำดีก็จริง แต่ต้องเช็คว่าไม่มีลานหินใต้ดินและอาจมีปัญหาเรื่องดินถล่ม หากเลือกได้ การปลูกในพื้นที่ราบที่มีเนินสูงๆ ต่ำๆ จะดีกว่าปลูกในที่ลาดชันมาก ถ้าปลูกเป็นการค้า ต้องคำนึงถึงการจัดการว่าเครื่องจักรใหญ่สามารถเข้าถึงบริเวณที่ปลูกได้หรือเปล่า นอกจากนั้น การปลูกแถวยาวจะง่ายสำหรับการจัดการมากกว่าเพราะไม่ต้องกลับรถไถบ่อยเหมือนถ้าปลูกแถวสั้น และแถวปลูกควรวางแนวเหนือใต้ เพื่อให้ทุกต้นรับแสงได้ทั้งวัน
การเตรียมแปลงต้องเก็บตอไม้ออกก่อน ไถผาน 4 และผาน 7 หากมีช่วงแล้งนาน จะต้องเตรียมการสำหรับการให้และระบายน้ำด้วยโดยเฉพาะในแปลงที่ปลูกใหม่ เช่น อาจช่วยพูนโคนต้นในแปลงปลูกใหม่เพื่อให้ระบายน้ำได้ดี |
|
|
|
การเลือกพันธุ์ |
|
มะคาเดเมียนัทมี 2 สายพันธุ์หลัก คือ |
1. |
Macadamia tetraphylla |
เหมาะสำหรับการปลูกในเขตอบอุ่นเพราะสามารถทนอุณหภูมิต่ำได้ดี ทรงพุ่มชะลูด ดอกสีชมพู ผิวกะลาขรุขระ มักใช้ปลูกเป็นต้นตอ |
2. |
Macadamia integrifolia |
เหมาะสำหรับการปลูกในเขตร้อน ทรงพุ่มป้อม ดอกสีขาว ผิวกะลาเรียบ นิยมใช้เป็นพันธุ์การค้าพันธุ์ดีที่กรมวิชาการเกษตรรับรองเป็น Macadamia integrifolia ได้แก่ พันธุ์ 344 พันธุ์เชียงใหม่ 400 (660) พันธุ์เชียงใหม่ 700 (741) พันธุ์เชียงใหม่ 1,000 (508) และพันธุ์ O.C . (Own Choice) |
|
พันธุ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ได้นำมาปลูกไว้ที่สวนภูเรือฯ ตั้งแต่ปี 2534 รุ่นแรกที่ปลูกเป็นกิ่งทาบและมาขยายพันธุ์โดยการเปลี่ยนยอด (Top working) ส่วนใหญ่จะปลูกขยายพันธุ์โดยวิธีติดตาเสียบยอดเพื่อไม่ให้กลายพันธุ์ |
จากประสบการณ์ของสวนภูเรือฯ เราอาจแบ่งพันธุ์มะคาเดเมียนัทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามระยะเวลาการให้ผลผลิต ซึ่งมีผลโดยตรงกับรายได้ ดังนี้
1. พันธุ์เบา สามารถออกดอกและติดผลได้ดีหลังจากที่ปลูกเพียง 1-5 ปี เช่น พันธุ์ O.C. พันธุ์ 660 พันธุ์ Hinde (H2)
สวนภูเรือฯ ขอแนะนำพันธุ์ CPK1 ซึ่งคาดว่ามาจากการกลายพันธุ์ของพันธุ์ 344 พันธุ์นี้สามารถออกดอกและติดผลได้ในปีที่ 2-3 พอถึงปีที่ 5-10 ก็สามารถให้ผลผลิตเป็นการค้าได้ โดยต้นอายุ 10 ปีจะให้ผลผลิต 10 กก./ต้น อายุ 15 ปี 15 กก./ต้น หลังอายุ 20 ปีขึ้นไป จะให้ผลผลิตเนื้อในกะลา (Nut in shell) ได้ถึง 20 กก./ต้น ซึ่งขณะนี้ ทางสวนฯ ได้ขยายพันธุ์เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคาต้นละ 100 บาท
2. พันธุ์หนัก จะให้ผลผลิตหลังจากปลูก 10 ปีขึ้นไป เช่น พันธุ์ 344 พันธุ์ 741 พันธุ์ 508 มะคาเดเมียนัทกลุ่มนี้ต้องปลูกในพื้นที่สูงซึ่งมีอากาศเย็น อุณหภูมิตลอดทั้งปีไม่ควรเกิน 35ºC โดยเฉพาะพันธุ์ 344
เราขอแนะนำคนที่เริ่มปลูกว่าควรปลูกพันธุ์เบาก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องรอนานเกินไปและควรปลูกปนกันตั้งแต่ 2 พันธุ์ขึ้นไป โดยปลูกสลับพันธุ์แถวเว้นแถว หรือ 1 แถว เว้น 2 แถวเพราะมะคาเดเมียนัทเป็นพืชผสมข้ามต้น ผสมข้ามพันธุ์เป็นส่วนใหญ่ (Cross pollination)
ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 400-600 เมตร แนะนำให้ปลูกพันธุ์ CPK1 สลับกับ O.C. โดยปลูกพันธุ์ CPK1 2 แถวสลับกับพันธุ์ O.C. 1 แถวเพราะทั้ง 2 พันธุ์เป็นพันธุ์เบาและดก ให้ผลทุกปี แม้พันธุ์ O.C. จะมีปัญหาว่าลูกแก่ไม่ร่วงเองต้องตีกิ่ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกรรายย่อย |
|
|
|
ผลผลิต |
|
มะคาเดเมียนัทพันธุ์เบาจะเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 2 แต่ยังไม่มากพอจะขาย จะเริ่มมากพอที่จะเป็นการค้าได้ก็ในปีที่ 7-10 เป็นต้นไป
ตามปกติ การออกดอกจะมี 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์และเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และจะสามารถเก็บผลผลิตได้ 6-11 เดือนหลังดอกบาน อย่างไรก็ตาม จะมีเพียง 4% ของดอกที่บานเท่านั้นที่จะติดผล ตำราบอกว่าจะสามารถเก็บผลผลิตมะคาเดเมียได้จนต้นอายุ 100-125 ปีเลยทีเดียว ส่วนผลผลิตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการดูแลและอายุของต้นผลผลิตเฉลี่ยตามอายุของต้นคือ
อายุต้น |
ผลผลิต (กก.ของเนื้อในกะลาต่อต้นต่อปี) |
5 ปี |
2 กก. |
6 ปี |
5 กก. |
7 ปี |
8 กก. |
8 ปี |
10 กก. |
11 ปี |
15 กก. |
20 ปี |
20-35 กก. |
จะเห็นได้ว่ามะคาเดเมียนัทเป็นพืชระยะยาว กว่าจะมีรายได้เป็นการค้าก็ 7 ปีขี้นไป ในระยะเริ่มต้นจึงควรปลูกพืชแซม (intercrop) ด้วย เช่น ปลูกกาแฟแซมแบบ Doi Tung Model ของกรมวิชาการเกษตร |
|
|
|
ระยะปลูกและการวางแนวปลูก |
|
มะคาเดเมียนัทอาจมีระยะปลูกได้หลายแบบดังนี้
5 x 10 ม. 1 ไร่ปลูกได้ 32 ต้น
8 x 8 ม. 1 ไร่ปลูกได้ 25 ต้น
8 x 12 ม. 1 ไร่ปลูกได้ 16 ต้น
ที่สวนภูเรือฯ ส่วนใหญ่ปลูกระยะ 8 x 8 เมตร ในช่วง 3 ปีแรก สามารถปลูกพืชไร่แซมระหว่างแถวได้
นอกจากจะช่วยให้มีรายได้เข้ามาเสริมบ้างแล้ว ยังเป็นการลดต้นทุนกำจัดวัชพืชโดยปลูกพืชไร่คลุมดินแทน พืชไร่ที่เราปลูกได้แก่ ขิง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วดำและถั่วลันเตา การปลูกระยะชิด มีข้อดีคือได้ผลตอบแทนเร็วกว่าแต่ต้องลงทุนเสียค่าต้นพันธุ์สูงกว่า และตั้งแต่ปีที่ 12-15 เป็นต้นไป จะมีปัญหาได้แสงน้อย ผลผลิตตก จะต้องตัดสางแถวเว้นแถวหรืออาจใช้วิธีตัดเล็มกิ่งข้างออก
การย้ายกล้าลงปลูก ควรทำต้นฤดูฝนเพื่อให้พืชตั้งตัวได้ก่อนถึงหน้าแล้ง |
|
|
|
ไม้บังลมและการตัดแต่ง |
ภาพแสดงการแตกแขนงแนวนอน ภาพกระถินเทพาที่ปลูกเป็นแนวบังลมให้ต้นมะคาเดเมียนัท |
การปลูกไม้บังลมให้มะคาเดเมียนัทเป็นเรื่องสำคัญเพราะกิ่งและต้นของมันจะเปราะหักง่าย นอกจากนั้น กิ่งแขนงของมะคาเดเมียนัทยังมักเติบโตออกทางข้างๆ ในแนวนอน ทำให้ฉีกง่ายเมื่อพายุมา ในการเตรียมแปลงปลูกมะคาเดเมียนัท จึงควรเริ่มปลูกไม้บังลมไปด้วย ไม้บังลมที่สวนภูเรือฯ พบว่าปลูกง่ายโตเร็ว ได้แก่ ขนุน ไผ่ ยูคาลิปตัส ทองหลางออสเตรเลีย (Willy-Willy) สนฉัตร Bana grass กระถินเทพา หมากเม่าและเปล้าใหญ่ นอกจากการปลูกไม้บังลม วิธีการป้องกันลมพายุอื่นๆ ที่เราทำคือการตัดยอดไม่ให้สูงเกิน 6-7 เมตร ประกอบกับการตัดกิ่งข้างออกตั้งแต่ต้นเล็กเพื่อแต่งให้ทรงต้นตรง การยึดกิ่งแขนงเข้ากับลำต้นเพื่อกันการฉีกหัก การใช้ไม้ไผ่ตอกตะปูค้ำยันลำต้น และการใช้ลวดชุบสังกะสีขึงโยงตอกยึดกับสมอบก 3 จุดต่อต้น ที่สวนภูเรือฯ เมื่อเริ่มปลูก เราพลาดที่ไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควรกับการปลูกไม้บังลม การตัดแต่งและการคัดเลือกกล้าพันธุ์ดี เราไม่ได้ปลูกไม้บังลมไปพร้อมๆ กับการปลูกมะคาเดเมียนัท และเราก็ได้บทเรียนราคาแพงเมื่อลมพายุพัดมะคาเดเมียอายุ 10 ปีที่กำลังมีลูกเต็มต้นล้มถอนรากชี้ฟ้าไป 1,000 กว่าต้นภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง
|
|
|
ภาพก่อนการตัดแต่ง |
ภาพหลังการตัดแต่ง |
ภาพต้นมะคาที่ถูกพายุพัดล้มชนิดรากชี้ฟ้า |
|
|
|
|
การควบคุมวัชพืชและคลุมโคน |
นำวัวและควายมาเลี้ยง ควายจะกินทั้งหญ้าคาและหญ้าใบแบนแต่วัวจะกินเฉพาะหญ้าคา |
หญ้าเป็นปัญหาสำคัญเพราะนอกจากจะแย่งอาหารแล้ว ในหน้าแล้ง หญ้าคาที่แห้งยังเป็นเชื้อไฟอย่างดี สำหรับมะคาเดเมียที่ยังเล็กอยู่ในช่วง 3 ปีแรก สามารถใช้การปลูกพืชไร่ช่วยคลุมดินประกอบกับการใช้เครื่องตัดหญ้าสะพายบ่าตัดรอบๆ โคนต้นและใช้รถแทรกเตอร์ลากหางเครื่องตัดหญ้าตัดระหว่างแถว ถ้าจำเป็น ก็ใช้ยาปราบวัชพืชกรัมม็อกโซนปีละ 2 ครั้งทางเลือกที่พบว่าได้ผลดีสำหรับต้นมะคาเดเมียที่โตแล้วคือนำวัวและควายมาเลี้ยง ควายจะกินทั้งหญ้าคาและหญ้าใบแบนแต่วัวจะกินเฉพาะหญ้าคา ต้องใช้เครื่องตัดหญ้าช่วยตัดพวกหญ้าใบแบน
การคลุมโคนต้นช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดิน ทำให้อุณหภูมิลดลงและช่วยให้มีรากฝอยใกล้ผิวดิน นอกจากนี้ อาจใช้ Bana grass ที่ปลูกบังลมมาตัดเป็นวัสดุคลุมโคนในแปลงต้นเล็ก แต่อย่าคลุมให้ชิดโคนนักเพื่อกันโคนเน่า
|
|
|
|
การให้น้ำ |
|
มะคาเดเมียนัทต้องการน้ำต้นละ 15 ลิตรต่อวันในช่วงไว้ผล เนื่องจากที่ภูเรือมักมีฝนมากพอในช่วงที่กำลังไว้ผล ทำให้เราได้มะคาเดเมียที่มีเม็ดใหญ่ แต่หากฝนทิ้งช่วง ก็ควรมีฝายเก็บน้ำหลายแห่งเพื่อให้สามารถส่งน้ำไปถึงได้ทุกแปลง ที่สวนภูเรือฯ จะมีการให้น้ำช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ส่วนการให้น้ำในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนนั้น จะทำเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้นเพราะมีพายุฤดูร้อนรุนแรงมากในเขตภูเรือ จึงต้องงดน้ำเพื่อให้ดินแข็งช่วยยึดโคนต้นกันล้ม
|
|
|
|
การให้ปุ๋ย |
|
|
ต้นอายุ |
โดโลไมท์ |
ขี้ไก่ |
1-5 ปี |
300 กรัม/ต้น |
5 กก./ตัน |
5 -10 ปี |
1 กก./ต้น |
10 กก./ต้น |
|
|
ใส่เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมของทุกปี |
|
|
|
|
|
|
โรคและแมลงศัตรูพืช |
|
การใช้ยากำจัดศัตรูพืชนั้นควรพิจารณาใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ เช่น เมื่อมีเพลี้ยอ่อนระบาดตอนก่อนดอกบาน โดยใช้ยาพ่นเพลี้ยอ่อน เช่น พอสซ์หรือคาราเต้ (เพลี้ยอ่อนนี้มดเป็นตัวนำมาเลี้ยงไว้กินน้ำหวาน) เราพบว่าการโรยปุ๋ยโดโลไมท์ไว้โคนต้นมีผลพลอยได้ช่วยลดปริมาณมดและเพลี้ยอ่อนไปด้วยในตัว |
|
|
|
หนู |
|
เป็นปัญหาใหญ่เมื่อมะคาเดเมียให้ผลผลิตแล้ว หากไม่มีการจัดการ คาดว่าหนูสามารถแย่งกินมะคาเดเมียในแปลงถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว
วิธีการจัดการที่พบว่าได้ผลคือการทำแปลงให้สะอาด ไม่เป็นที่อยู่อาศัยของหนู อีกทั้งส่งเสริมให้คนงานอีสานใช้หนูเป็นอาหารเนื่องจากหนูที่กินมะคาเดเมียนัทมีความสมบูรณ์มาก สามารถเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีให้คนงานได้ |
|
|
|
การป้องกันไฟ |
|
ไฟก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน ความจริง ไฟที่เราเผชิญส่วนมากไม่ได้เกิดจากป่าเพราะรอบๆ สวนภูเรือเป็นไร่ของชาวบ้านไปหมดแล้ว แต่เกิดจากการเผาที่เตรียมแปลงทำไร่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี ประกอบกับเป็นฤดูที่มีลมพายุแรง ทำให้ไฟลุกลามเร็วขึ้นไปใหญ่
เราสามารถช่วยป้องกันไฟได้โดย
1. กำจัดหญ้าคาในแปลงปลูกไม่ให้เป็นเชื้อไฟ
2. ทำแนวกันไฟตามขอบพื้นที่ในเดือนกุมภาพันธ์โดยใช้แทรกเตอร์ไถให้เป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีเชื้อไฟใดๆ แนวนี้ควรกว้าง 15-30 เมตรหรือเท่าที่มีพื้นที่อำนวย
3. จัดรถน้ำและยามเฝ้าระวังดับไฟที่เกิด |
|
|
|
การเก็บเกี่ยว |
|
เราพบว่าการใช้เครื่องจักรเก็บยังไม่คุ้มและไม่เหมาะกับสภาพการเก็บในฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวหลัก (ผลผลิตในฤดูแล้งมีน้อยกว่า) สวนภูเรือฯ ใช้แรงงานคนเก็บผลแก่ที่หล่นใต้ต้น ก่อนเก็บ ต้องตัดหญ้าก่อนจึงจะเก็บง่าย
|
|
|
|
การกะเทาะกะลาและการอบ |
|
มะคาเดเมียนัทประกอบด้วย 3 ส่วนคล้ายมะพร้าว คือ เปลือกนอกเขียว กะลาน้ำตาลและเนื้อในสีขาว |
|
|
|
มะคาในเปลือกเขียว
(nut in husk) |
มะคาในกะลา (nut in shell) |
เนื้อมะคา (kernel) |
|
การตีเปลือกเขียว ควรตีออกภายใน 24 ชั่วโมงหลังการร่วงหล่น |
ความชื้นของมะคาเดเมียหลังตีเปลือกเขียวจะมีประมาณ 25-30% ก่อนจะกะเทาะกะลาออก ต้องลดความชื้นให้เหลือ 1.5-2% เพื่อให้เนื้อในล่อนจากผิวด้านในกะลา วิธีเช็คง่ายๆ คือเขย่าแล้วมีเสียง
การลดความชื้นของกะลาควรผึ่งในที่ร่มในที่ที่หนูเข้าไม่ได้และมีอากาศถ่ายเทดี อีกทั้งต้องคอยโกยและพลิกกองเพื่อกันไม่ให้กะลาชั้นล่างอับชื้น |
|
|
|
ภาพเครื่องตีเปลือกเขียว เครื่องกะเทาะ เครื่องแยกกะลาเสียโดยลมและสายพานคัดเกรด |
|
|